บัตรพลาสติก PVC มีกี่ประเภท อะไรบ้าง

ในชีวิตประจำวันของเรา บัตรพลาสติกเข้ามามีบทบาทอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต บัตรสมาชิก บัตรพนักงาน หรือบัตรโดยสารต่างๆ บัตรเหล่านี้ช่วยอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรม การยืนยันตัวตน และการเข้าถึงบริการต่างๆ เคยสงสัยกันไหมว่าบัตรพลาสติกที่เราใช้กันอยู่ทุกวันทำมาจากอะไร และมีกี่ประเภท? บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับบัตรพลาสติกที่ทำจากวัสดุ PVC (Polyvinyl Chloride) ซึ่งเป็นวัสดุที่ได้รับความนิยมในการผลิตบัตร ด้วยคุณสมบัติเด่นอย่างความทนทาน ความยืดหยุ่น และความคุ้มค่า

ประเภทของบัตรพลาสติก PVC

บัตร PVC สามารถแบ่งออกได้หลายประเภท โดยอาจแบ่งตามลักษณะการใช้งาน เทคโนโลยีที่ใช้ หรือความหนาของบัตร ดังนี้

ประเภทตามเทคโนโลยี

1. บัตรแถบแม่เหล็ก (Magnetic Stripe Card): เป็นบัตรที่มีแถบแม่เหล็กอยู่ด้านหลัง ซึ่งบันทึกข้อมูลโดยการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็ก ข้อมูลที่บันทึกมักจะเป็นข้อมูลพื้นฐาน เช่น หมายเลขบัตร ชื่อเจ้าของบัตร บัตรแถบแม่เหล็กนิยมใช้ในบัตรเครดิต บัตรสมาชิก และบัตรพนักงาน ข้อดีคือราคาถูก แต่ข้อเสียคือความปลอดภัยต่ำ เพราะข้อมูลสามารถถูกคัดลอกได้ง่าย
2. บัตร RFID (Radio-Frequency Identification Card): ใช้เทคโนโลยีคลื่นวิทยุในการสื่อสารและรับส่งข้อมูลแบบไร้สัมผัส บัตร RFID มีหลายประเภทตามความถี่ที่ใช้ เช่น 125kHz (Proximity) และ 13.56MHz (Mifare) บัตรประเภทนี้ใช้ในบัตรเข้าออก บัตรโดยสาร และบัตรห้องสมุด ข้อดีคือใช้งานง่ายและรวดเร็ว แต่ข้อเสียคืออาจมีปัญหาด้านความปลอดภัยหากไม่มีระบบการเข้ารหัสที่ดี
3. บัตรสมาร์ทการ์ด (Smart Card): มีชิปไมโครคอนโทรลเลอร์ฝังอยู่ภายใน ทำให้สามารถจัดเก็บข้อมูลและประมวลผลได้มากกว่าบัตรแถบแม่เหล็ก บัตรสมาร์ทการ์ดใช้ในบัตรประชาชน บัตร EMV (Europay, Mastercard, Visa) และบัตรที่มีความต้องการความปลอดภัยสูง ข้อดีคือมีความปลอดภัยสูงและสามารถใช้งานได้หลากหลาย แต่ข้อเสียคือราคาสูงกว่าบัตรประเภทอื่น

ประเภทตามความหนา

1.บัตรบาง (0.3 มม.)

บัตรบางมีความหนาประมาณ 0.3 มม. ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความเบาและสะดวกในการพกพา เช่น

• นามบัตร: บัตรบางมักถูกใช้เป็นนามบัตร เนื่องจากสามารถพิมพ์ข้อมูลติดต่อได้อย่างชัดเจนและง่ายต่อการพกพาในกระเป๋า
• บัตรของขวัญ: บัตรประเภทนี้มักใช้เป็นบัตรของขวัญที่สามารถให้แก่ผู้รับได้ง่าย และไม่ทำให้รู้สึกหนักหรือเทอะทะ
• บัตรที่ต้องการความบางเบา: เหมาะสำหรับงานที่ไม่ต้องการความทนทานสูงหรือการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงต่ำ

อย่างไรก็ตาม บัตรบางอาจมีความทนทานน้อยกว่าบัตรประเภทอื่น ๆ และอาจเกิดการเสียหายได้ง่ายหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

2.บัตรมาตรฐาน (0.76 มม.)

บัตรมาตรฐานมีความหนาประมาณ 0.76 มม. ซึ่งถือเป็นความหนาที่นิยมใช้กันทั่วไปในหลากหลายประเภท โดยมีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการใช้งานดังนี้

• บัตรพนักงาน: ใช้ในการระบุบุคลากรในองค์กร โดยสามารถพิมพ์ชื่อ ตำแหน่ง และข้อมูลอื่น ๆ ได้อย่างชัดเจน
• บัตรนักเรียน/นักศึกษา: ใช้ในการระบุสถานะของนักเรียนหรือนักศึกษาในสถาบันการศึกษา ซึ่งช่วยในการเข้าถึงบริการต่าง ๆ เช่น ห้องสมุดหรือกิจกรรมภายในโรงเรียน
• บัตรสมาชิกทั่วไป: สามารถใช้ในธุรกิจต่าง ๆ เช่น ร้านค้า หรือบริการสมาชิก เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ได้

บัตรมาตรฐานมีความทนทานในระดับปานกลาง ทำให้สามารถใช้งานได้ดีในสภาพแวดล้อมทั่วไป โดยไม่เสี่ยงต่อการเสียหายง่าย

3.บัตรหนา (0.8 มม. ขึ้นไป)

บัตรหนามีความหนาตั้งแต่ 0.8 มม. ขึ้นไป ซึ่งเหมาะสำหรับงานที่ต้องการความทนทานสูง เช่น

• บัตรจอดรถ: ใช้ในการควบคุมการเข้าจอดรถในพื้นที่เฉพาะ โดยต้องมีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมภายนอก เช่น แสงแดดและฝน
• บัตรควบคุมการเข้าออก: ใช้ในระบบรักษาความปลอดภัย เช่น บัตรที่ใช้ในการเข้าออกอาคารหรือสถานที่ที่มีการควบคุมการเข้าถึง
• บัตรที่ใช้งานในสภาพแวดล้อมที่สมบุกสมบัน: เช่น บัตรที่ใช้ในงานก่อสร้างหรืออุตสาหกรรม ที่ต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงสูง

ด้วยความหนาที่มากขึ้น บัตรประเภทนี้จึงมีความทนทานต่อแรงกระแทกและสามารถรักษาสภาพได้ดีในระยะยาว ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับงานที่ต้องการคุณภาพและความคงทน

ตารางสรุปประเภทของบัตร PVC

การใช้งานบัตรพลาสติก PVC ในอุตสาหกรรมต่างๆ

บัตรพลาสติก PVC ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายในหลากหลายอุตสาหกรรม

• การเงินและการธนาคาร: บัตรเครดิต บัตรเดบิต บัตร ATM
• การขนส่ง: บัตรโดยสาร บัตร Easy Pass
• การศึกษา: บัตรนักเรียน/นักศึกษา บัตรห้องสมุด
• ธุรกิจและการค้า: บัตรสมาชิก บัตรสะสมแต้ม บัตรของขวัญ
• ภาครัฐ: บัตรประชาชน บัตรประกันสุขภาพ

สรุป

บัตรพลาสติก PVC สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภทตามเทคโนโลยี เช่น บัตรแถบแม่เหล็ก บัตร RFID และบัตรสมาร์ทการ์ด รวมถึงการแบ่งตามความหนา เช่น บัตรบาง บัตรมาตรฐาน และบัตรหนา โดยบัตรเหล่านี้ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการใช้งานในด้านต่างๆ เช่น การเงิน การขนส่ง การศึกษา ธุรกิจ และภาครัฐ ด้วยคุณสมบัติที่ตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะด้าน ทั้งในแง่ความสะดวก ทนทาน และความปลอดภัยในการใช้งาน