การพิมพ์อิงค์เจ็ท (Inkjet printing) เหมาะสำหรับการพิมพ์งานแบบไหน?
ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับเทคโนโลยีการพิมพ์อิงค์เจ็ทอย่างละเอียด พร้อมแนะนำเคล็ดลับในการเลือกเครื่องพิมพ์ให้เหมาะสมกับการใช้งานของคุณ
การพิมพ์งานอิงค์เจ็ท เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะสามารถให้ภาพที่คมชัด สีสันสดใส และพิมพ์ลงบนวัสดุได้หลากหลาย แต่ก่อนจะลงมือพิมพ์งานด้วยเทคนิคนี้ มีเคล็ดลับสำคัญที่ควรรู้ เพื่อให้ผลงานออกมาสมบูรณ์แบบและตรงใจ
เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทใช้ระบบสี CMYK ซึ่งย่อมาจาก Cyan, Magenta, Yellow และ Black เป็นระบบสีมาตรฐานที่ใช้ในงานพิมพ์ทั่วไป เพื่อให้ได้ภาพพิมพ์ที่มีสีสันสมจริงและใกล้เคียงกับภาพต้นฉบับมากที่สุด
โดยระบบสี CMYK ทำงานโดยการผสมผสานหมึกสีทั้ง 4 สีเข้าด้วยกันในสัดส่วนที่แตกต่างกัน เพื่อให้ได้สีสันที่หลากหลาย สีฟ้า (Cyan) ช่วยในการสร้างโทนสีเย็น ส่วนสีม่วงแดง (Magenta) ช่วยสร้างโทนสีอุ่น สีเหลือง (Yellow) ทำให้สีสันสดใส และสีดำ (Black) ช่วยเพิ่มความคมชัดและความลึกให้กับภาพ
ทั้งนี้ เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทบางรุ่นยังมีสีเพิ่มเติมอย่างสีฟ้าอ่อน (Light Cyan) และสีชมพูอ่อน (Light Magenta) เข้ามาช่วยในการสร้างภาพให้มีระดับสีที่นุ่มนวลและสมจริงยิ่งขึ้น โดยสีฟ้าอ่อนจะช่วยในการไล่ระดับสีฟ้าให้ดูสบายตา ส่วนสีชมพูอ่อนจะช่วยให้ผิวของตัวแบบในภาพดูเนียนใสและเป็นธรรมชาติมากขึ้น
การทำความเข้าใจระบบสีของเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทจึงมีความสำคัญ เพื่อช่วยให้เราสามารถปรับแต่งภาพก่อนพิมพ์ได้อย่างเหมาะสม และทำให้ภาพพิมพ์ที่ได้ออกมามีคุณภาพสูงสุด ตรงตามความต้องการ
ข้อดีที่โดดเด่นของการพิมพ์ระบบอิงค์เจ็ทคือ ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการทำเพลทสี ซึ่งแตกต่างจากระบบการพิมพ์แบบอื่น ๆ อย่างซิลค์สกรีนหรือออฟเซ็ท ที่ต้องอาศัยการทำเพลทสีก่อนการพิมพ์ทุกครั้ง เนื่องจากเทคโนโลยีการพิมพ์อิงค์เจ็ทนั้น เครื่องพิมพ์จะรับคำสั่งงานตรงจากคอมพิวเตอร์ ไม่ต้องผ่านขั้นตอนการทำเพลทสีเพิ่มเติมให้ยุ่งยาก จึงช่วยให้การเตรียมงานพิมพ์เป็นไปอย่างรวดเร็ว ลดระยะเวลาการผลิต และยังช่วยให้ต้นทุนการผลิตต่ำลงอีกด้วย
ดังนั้น หากใช้บริการร้านพิมพ์แล้วถูกเรียกเก็บค่าทำเพลทสีเพิ่มเติม ก็ควรตระหนักไว้ว่ากำลังถูกฉ้อโกงอย่างแน่นอน เพราะการพิมพ์อิงค์เจ็ทไม่จำเป็นต้องมีขั้นตอนการทำเพลทสีแต่อย่างใด
การเลือกไฟล์ภาพที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญในการพิมพ์ภาพคุณภาพสูง เนื่องจากไฟล์ภาพที่มีคุณภาพดีจะช่วยให้ภาพพิมพ์ออกมามีความคมชัด สีสันสดใส และรายละเอียดครบถ้วน ซึ่งไฟล์ภาพที่นิยมใช้ในงานพิมพ์ ได้แก่ AI (Adobe Illustrator), EPS (Encapsulated PostScript), PSD (Adobe Photoshop), PDF (Portable Document Format), JPG (Joint Photographic Experts Group), PNG (Portable Network Graphics) และ TIFF (Tagged Image File Format)
โดยไฟล์เหล่านี้มีคุณสมบัติเฉพาะที่เหมาะกับการนำมาใช้งานพิมพ์ เช่น AI และ EPS เป็นไฟล์ภาพแบบเวกเตอร์ที่สามารถปรับขนาดได้โดยไม่สูญเสียคุณภาพ เหมาะสำหรับงานกราฟิกและโลโก้ ส่วน PSD เป็นไฟล์ต้นฉบับของโปรแกรม Photoshop ที่เก็บรายละเอียดของภาพและเลเยอร์ต่าง ๆ เอาไว้ครบถ้วน PDF นิยมใช้ในการส่งไฟล์เพื่อจัดพิมพ์ เพราะรวมข้อมูลของภาพและฟอนต์ไว้ด้วยกัน ทำให้ภาพพิมพ์ออกมาตรงตามต้นฉบับ
ในขณะที่ JPG, PNG และ TIFF เป็นรูปแบบของไฟล์ภาพที่บีบอัดข้อมูล ทำให้มีขนาดไฟล์เล็กลง สะดวกในการจัดเก็บและส่งต่อ แต่อาจสูญเสียคุณภาพของภาพไปบ้าง โดย JPG เหมาะสำหรับภาพถ่ายที่มีสีหลากหลาย PNG เหมาะกับภาพกราฟิกที่มีพื้นหลังโปร่งใส ส่วน TIFF ให้คุณภาพของภาพที่ดีที่สุด จึงนิยมใช้ในงานพิมพ์ที่ต้องการความละเอียดสูง
อย่างไรก็ตาม หากต้องการนำไฟล์จากโปรแกรม Microsoft Office มาพิมพ์บนเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท จำเป็นต้องแปลงไฟล์ให้อยู่ในรูปแบบที่รองรับก่อน เพื่อให้ได้ภาพพิมพ์ที่มีคุณภาพสมบูรณ์แบบ และตรงตามความต้องการ ดังนั้น การเลือกใช้ไฟล์ภาพที่เหมาะสมจึงเป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับสำคัญที่จะช่วยให้การพิมพ์ภาพขนาดใหญ่สวยงาม และมีคุณภาพ
ภาพถ่ายหรือพิกเซลเลต (Pixellet Photo) ที่ได้จากการถ่ายด้วยกล้องนั้น แม้จะดูสวยงามตราตรึงใจเพียงใด แต่ก็มีข้อจำกัดที่ควรระวัง นั่นคือเรื่องความละเอียดของภาพ เพราะเมื่อนำภาพเหล่านี้มาขยายให้มีขนาดใหญ่ขึ้น อาจส่งผลให้คุณภาพของภาพลดลง ภาพอาจจะเกิดอาการแตกหรือไม่คมชัดอย่างที่ควรจะเป็น
ต่างจากภาพเวกเตอร์ (Vector) ที่วาดขึ้นด้วยโปรแกรมอย่าง Adobe Illustrator ซึ่งเป็นภาพที่เกิดจากการคำนวณทางคณิตศาสตร์ ไม่ได้ประกอบด้วยจุดพิกเซล จึงสามารถขยายได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของภาพแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะขยายให้ใหญ่ขนาดไหน ภาพก็ยังคงความคมชัดสวยงามเหมือนเดิม
ดังนั้น หากต้องการนำภาพไปพิมพ์ในขนาดใหญ่ เช่น โปสเตอร์ หรือป้ายโฆษณา สิ่งสำคัญคือควรเลือกใช้ภาพต้นฉบับที่มีขนาดใหญ่และมีความละเอียดสูงเป็นพื้นฐาน เพื่อป้องกันไม่ให้ภาพเกิดความแตกหรือสูญเสียคุณภาพไประหว่างทาง หากภาพต้นฉบับมีขนาดเล็กหรือความละเอียดต่ำเกินไป ต่อให้ขยายออกมาก็ไม่สามารถช่วยให้ภาพดูดีขึ้นได้
การเข้าใจถึงข้อจำกัดของภาพแต่ละประเภท และรู้จักเลือกใช้ภาพที่เหมาะสมกับงาน จะช่วยให้ชิ้นงานออกมาสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะนำไปใช้ในรูปแบบใดก็ตาม เพียงแค่ใส่ใจกับรายละเอียดของภาพตั้งแต่ต้น ก็จะช่วยป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นภายหลังได้เป็นอย่างดี
การปรูฟสีก่อนพิมพ์งานเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับงานที่ให้ความสำคัญกับสีเป็นพิเศษ อาทิ สีประจำแบรนด์หรือสีของผลิตภัณฑ์ ซึ่งต้องมีความถูกต้องแม่นยำ ตรงตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ เพื่อให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์มีความสม่ำเสมอ น่าเชื่อถือ และจดจำได้ง่าย
การพิมพ์ระบบอิงค์เจ็ทนั้น ใช้เทคนิคการผสมสีแบบหมึกพ่น ซึ่งมีโอกาสที่สีจะเกิดความคลาดเคลื่อนได้มากกว่าการพิมพ์ระบบอื่น ๆ แม้ว่าจะเป็นการสั่งพิมพ์ซ้ำจากไฟล์งานเดิม ก็ยังมีความเสี่ยงที่สีอาจจะไม่ตรงตามต้นฉบับ 100% ดังนั้น การปรูฟสีจึงเป็นขั้นตอนที่ข้ามไม่ได้ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของสีก่อนเข้าสู่กระบวนการพิมพ์จริง
หากลูกค้าสั่งพิมพ์งานโดยอ้างอิงเฉดสีมาตรฐานอย่าง Pantone โดยไม่มีการปรูฟสีเพื่อยืนยันความถูกต้องเสียก่อน อาจก่อให้เกิดปัญหาหรือข้อพิพาทระหว่างลูกค้าและผู้พิมพ์ได้ในภายหลัง เนื่องจากสีที่พิมพ์ออกมาอาจจะคลาดเคลื่อนจากความต้องการของลูกค้า ซึ่งนอกจากจะทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการแก้ไขแล้ว ยังอาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือและความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองฝ่ายอีกด้วย
ดังนั้น การสื่อสารและทำความเข้าใจที่ตรงกันระหว่างลูกค้าและผู้พิมพ์ในเรื่องของการปรูฟสี จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคุณภาพของงานพิมพ์ รวมถึงความพึงพอใจของลูกค้าและความสัมพันธ์ทางธุรกิจในระยะยาว การปรูฟสีก่อนพิมพ์จึงเป็นขั้นตอนที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผลงานที่ออกมาจะมีคุณภาพสูงสุด ตรงตามความต้องการ และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ในภายหลัง
ด้วย 5 เคล็ดลับนี้ คุณจะสามารถสั่งพิมพ์งานอิงค์เจ็ทได้อย่างมั่นใจ และได้ผลงานที่สวยงาม สมบูรณ์แบบตามต้องการอย่างแน่นอน อย่าลืมให้ความสำคัญกับไฟล์ภาพ ความละเอียด การเลือกสี และการปรูฟสี เพื่อการันตีคุณภาพที่ดีที่สุดในทุกชิ้นงานนะคะ